.


Free เมาส์น่ารัก

.









































วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มะนาว

มะนาวสรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะนาว

มะนาวอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรไทยที่ไม่ได้มีแค่ประโยชน์ของมะนาวเท่านั้นแต่ยังมีอีกด้วย และวันนี้เราก็มาพูเรื่อง ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว เพื่อขยายความถึงความดีของสมุนไพรไทยชนิดนี้ให้ได้ฟังกันมากขึ้น ประโยชน์ของมะนาว นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของคุณพ่อบ้านแม่บ้านกันอีกเช่นเคย โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้งเรียกได้ว่าขาดมะนาวเสียไม่ได้เลยหรือจะเป็นเมนูอาหารจำพวกยำๆ ถ้าขาดมะนาวไปเมนูอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยเป็นแน่ค่ะ นอกจากนี้ สรรพคุณของมะนาว ก็ยังสามารถช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วยนั้นเรามาดู ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว กันเลยค่ะ



ประโยชน์ของมะนาว


สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะนาว


ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและโคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝนช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก

โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี

มะนาว เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาวมีวิตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด


วิธีทำยา


นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ

ส่วนน้ำมะนาว รักษาอาการไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้นใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสเข้มข้นพอควรดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณหัวโนจะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว

สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านความงามโดยเอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้วนำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนองซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไปทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขนช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุดส่งผลให้ใบหน้าสวยใส

มะนาวจึงถือเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ดังนั้นอย่าลืมหาซื้อมะนาวหรือปลูกเองติดบ้านไว้ใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและความงามนอกเหนือจากไว้ปรุงรสอาหารนะคะ

มะขาม

สรรพคุณของมะขาม    [ 2008-08-11 10:19:35 ] เก็บเป็นรายการโปรด
กลุ่ม : สุขภาพ

ชื่ออื่น ๆ : ส่ามอเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), มะขาม, มะขามไทย (ภาคกลาง), ตะลูบ (นครศรีธรรมราช), อำเปียล (สุรินทร์),  มะขามกะดาน, มะขามขี้แมว

ชื่อสามัญ : Tamarind

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tamarindus indica Linn.

วงศ์ : CAESALPINIACEAE

ลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาตรงส่วนยอดของต้น และแข็งแรงมาก ลำต้นมีความสูงประมาณ 60 ฟุต เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน และแตกสะเก็ดเป็นร่องเล็ก ๆ

ใบ : เป็นไม้ใบรวม จะออกใบเป็นคู่ ๆ เรียงกันตามก้านใบ ก้านหนึ่งมีใบอยู่ประมาณ 10-18 คู่ ลักษณะของใบย่อย เป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน มีสีเขียวแก่

ดอก : ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ อยู่ตามบริเวณปลายกิ่ง ช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 10-15 ดอก ดอกจะเล็กมีกลีบเป็นสีเหลือง และมีจุดประสีแดงอยู่ตรงกลางดอก ดอกจะออกในช่วงฤดูฝน ดอกมีรสเปรี้ยว

ผล : เมื่อดอกร่วงแล้วก็จะติดผล ซึ่งผลนี้จะมีอยู่ 2 ชนิดคือชนิดฝักกลมเล็กยาว ซึ่งเรียกว่ามะขามขี้แมว และอีกชนิดหนึ่งฝักใหญ่แบน และโค้ง มีรสเปรี้ยว เรียกว่ามะขามกะดานเปลือกนอกเปราะเป็นสีเทาอมน้ำตาล ข้างในผลมีเนื้อเยื่อแรก ๆ เป็นสีเหลืองอ่อน และจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่จัด ซึ่งจะหุ้มเมล็ดอยู่ ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปค่อนข้างกลม ผิวเปลือกเกลี้ยง เป็นสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม

การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดด เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ มีการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง

ส่วนที่ใช้ : เนื้อไม้ ใบแก่ ใบอ่อนและดอก เนื้อในผล เมล็ดแก่

สรรพคุณ : เนื้อไม้ ใช้ทำเป็นเขียง ที่มีคุณภาพดีมาก เพราะเป็นไม้ทีเหนียวทนใบแก่ มีรสเปรี้ยวฝาด ใช้นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอ แก้โรคบิด ขับเสมหะในลำไส้ หรือนำมาต้มผสมกับหัวหอมโกรกศีรษะเด็กในเวลาเช้ามืด แก้หวัดจมูกได้ หรือใช้น้ำที่ต้มให้สตรีหลังคลอดอาบ และใช้อบไอน้ำได้เป็นต้น

       * ใบอ่อนและดอก ใช้รับประทานเป็นอาหารได้
       * เนื้อในผล (มะขามเปียก) ใช้ผลแก่ประมาณ 10-20 ฝัก นำมาจิ้มเกลือกิน แล้วดื่มน้ำตามลงไป หรืออาจใช้ทำเป็นน้ำมะขามคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ลดการกระหายน้ำ หรือใช้เนื้อมะขามผสมกับข่า และเกลือพอประมาณ รับประทานเป็นยาขับเลือดขับลม แก้สันนิบาตหน้าเพลิง หรืออาจใช้ผสมกับปูนแดง แล้วนำมาพอกหรือทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน หรือฝี
       * เมล็ดแก่ นำมาคั่วให้เกรียมแล้วกระเทาะเปลือกออกใช้ประมาณ 20-30 เม็ด นำมาแช่น้ำเกลือจนอ่อนใช้กินเป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนในท้องเด็กได้ หรือใช้เปลือกนอกที่กระเทาะออก ซึ่งจะมีรสฝาดใช้กินเป็นยาแก้ท้องร่วง และแก้อาเจียนได้ดี

อื่น ๆ : เมล็ดมะขาม ใช้เพาะอย่างถั่วงอกใช้นำมาทำเป็นแกงส้มกิน เป็นอาหารได้ และในประเทศอินเดียนิยมใช้เมล็ดในนำมาป่นให้ละเอียดแล้วต้มกับผ้าเพื่อให้ผ้าแข็ง เหมือนกับลงแป้ง

ลิ้นจี่

         

ลิ้นจี่ ผลไม้อร่อย ประโยชน์มากมาย

ลิ้นจี่ มีต้นกำเนิดที่ประเทศจีน ลักษณะค่อนข้างกลม เปลือกสีแดงเข้ม ผิวขรุขระไม่เรียบ เนื้อสีขาวฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว นิยมรับประทานผลสด ทำผลไม้กระป๋อง ดอง มีน้ำตาลสูง หากเราผ่านไปทางภาคตะวันออก จะเห็นว่าทางภาคนี้จะปลูกผลไม้แทบทุกชนิด เพราะอากาศดี ดินอุดมสมบูรณ์และมีลิ้นจี่ปลูกมากในภาคนี้ สารอาหารที่ได้จากลิ้นจี่คือแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินฯลฯ

ชื่ออื่น ลีจี (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ lichi chinensis sonn.

วงศ์ sapndaceae
ลักษณะทั่วไป ลิ้นจี่เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ 11-12 เมตร แตกกิ่งก้าน บริเวณยอดกลม
ใบ เป็นใบประกอบคล้ายขนนก ใบหนา รูปใบรี ขอบใบขนาน ลักษณะคล้ายหอก ปลายใบแหลม ใบดกหนาทึบ ผิวใบมัน
ดอก ออกดอกเป็นช่อๆ มีดอกย่อยขนาดเล็ก
ผล มีรูปร่างกลมรี ผิวผลขรุขระสากมือ หรือมีหนามเล็กๆ ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีแดงและแดงคล้ำตามลำดับ เนื้อในสีขาว มีรสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงแข็ง หนึ่งผลมีเพียง 1 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ เมล็ด เนื้อผล
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
ลิ้นจี่ เป็นผลไม้ที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกชนิดหนึ่ง
เมล็ด นำมาบดให้เป็นผงละเอียดเป็นยาสมานระงับความเจ็บปวดในกระเพาะอาหาร
เนื้อในผล รับประทานเป็นยาบำรุง และรักษาอาการท้องเดิน
คุณค่าทางอาหาร
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีความหอมอยู่มากเพียงแค่ได้กลิ่นก็หอมสดชื่น ลิ้นจี่ส่วนมากมักนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น แล้วแช่เย็นไว้ดื่มเพื่อกระหาย รสชาติอร่อยชื่นฉ่ำใจ

ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามินบี 1 ในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีไนอะซีนช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงาน ช่วยในระบบย่อยอาหาร ส่วนที่เป็นเมล็ดยังสามารถทำเป็นยาระบายความเจ็บปวดในกระเพาะอาหารได้ด้วย
คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม
พลังงาน 57 แคลอรี่
โปรตีน 0.9 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.1 กรัม
เหล็ก 1.3 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 13.1 กรัม
แคลเซียม 7 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 41 มิลลิกรัม
วิตามีนบี 1 0.11 มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2 0.04 มิลลิกรัม
ไนอะซีน 0.3 มิลลิกรัม
ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว

ข้าวโพด

ข้าว โพด เป็นพืชล้มลุก ลำต้นตรงกลมต่อกันเป็นปล้อง สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเลี้ยงเดี่ยวเรียวยาวก้านใบหุ้มลำต้น ออกดอกบริเวณกาบใบ เมื่อโตขึ้นจะเป็นฝักข้าวโพด ข้าวโพดที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดคือข้าวโพดหวาน เพราะมีรสชาติหวานอร่อย และข้าวโพดหวานต้องรู้จักระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บ ข้าวโพดอ่อนจะมีสรชาติหวานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการมากพอ ส่วนข้าวโพดที่แก่จัดเกินไปจะเปลี่ยนเป็นแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรด ที่ให้พลังงานและแคลอรีสูง
น้ำข้าวโพด
ส่วนผสม
1. ข้าวโพดหวาน 5 ฝัก
2. น้ำต้มใบเตย 7 ถ้วยตวง (ใช้ใบเตยล้างหั่นประมาณ 5 ใบ)
3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
4. น้ำเชื่อม ครึ่งช้อนชา
วิธีทำ
1. ลอกเปลือกข้าวโพดออกล้างให้สะอาด ฝานเมล็ดข้าวโพดบาง ๆ (ส่วนเปลือกข้าวโพดนำไปต้มน้ำให้หอม)
2. ใส่ข้าวโพดลงในโถปั่น เติมน้ำต้มใบเตยพอควร เปิดสวิชท์ปั่นจนละเอียดดีแล้วกรองผ่านกระชอน (ควรนำส่วนเนื้อข้าวโพดที่กรองได้มาปั่นครั้งที่ 2 พร้อมน้ำใบเตย หรืออาจใช้น้ำข้าวโพดที่ปั่นไว้ก่อน)
3. นำน้ำข้าวโพดทั้งหมด ใส่หม้อสเตนเลสตั้งไฟ เติมเกลือ น้ำเชื่อมลงไป ควรคนด้วยพายไม้เพื่อไม่ให้ไหม้ ต้มพอสุกข้น ยกลงพักไว้ (ระวังอย่าให้ร้อนถึงจุดเดือด เพราะจะสุกเกินไปเกิดการแยกตัว)
4. เสิร์ฟร้อนหรือเย็นตามชอบ
เทคนิคการทำ
1. ควรใช้ข้าวโพดใหม่ สด จะได้นมข้าวโพดที่หอมอร่อย
2. ควรปั่นข้าวโพด 2 ครั้ง เพื่อให้ได้น้ำเข้มข้น
3. ควรต้มนมข้าวโพดให้สุกข้นจึงหอมอร่อย
4. ควรระวังอย่าให้นมข้าวโพดเดือดนานเกินไปจะแยกตัว
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร :
1. เมล็ดข้าวโพดมีแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสสูง โปรตีน แป้ง วิตามินเอ
2. ฝักอ่อน ใช้ผัดเป็นอาหาร
3. ฝักข้าวโพด ใช้ต้ม ย่างรับประทาน ทำซุปข้าวโพด ทำแป้งข้าวโพด
คุณค่าทางยา :
1. ฝอยข้าวโพดสีน้ำตาล ใช้ทำน้ำมันระเหย มีสารที่เป็นอัลคาลอยด์ที่ระเหยได้
2. ฝอยข้าวโพดใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
3. ซังข้าวโพด ใช้ปรุงเป็นยารักษาตานขโมยในเด็ก
เป็นไงคะ เห็นสรรพคุณกันแล้ว ไปหาซื้อข้าวโพด ลองทำน้ำข้าวโพดทานกันดูนะคะ ทำมาแล้วอร่อยค่ะสูตรนี้นอกเหนือจากข้าวอันเป็นอาหารหลักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันแล้ว ทุกคนคงเคยลิ้มลองรสชาติอันหวานมันของข้าวโพดซึ่งเป็นพืชที่นำประโยชน์มาใช้ได้แทบทุกส่วน ซึ่งเฉพาะเมล็ดนั้นวิธีการรับประทานก็สารพันจะสรรหากันแล้ว ไม่ว่าจะนำมาต้ม ปิ้ง คลุกเนย ทอด หรือการใช้ประโยชน์จากการนำมาแปรรูป เช่น แป้งข้าวโพด นม เหล้า เบียร์ วิสกี้ น้ำตาลผง สบู่ น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอางค์ น้ำเชื่อม น้ำหวาน น้ำสลัด เนยเทียมและมายองเนส เป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิดก็เนื่องจากเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก แถมยังมีโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินที่มีประโยชน์อีกมากมาย เช่นวิตามินซี เอในรูปเบต้าแคโรทีน อีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลูเทียน และซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรตีนอย ช่วยป้องกันตาเสื่อมสภาพ

ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆ คงหนีไม่พ้นสรรพคุณทางยา ที่คนโบราณค้นพบและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่นเมล็ดของมันใช้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย หัวใจ ปอดขับปัสสาวะ และนำมาบดพอกรักษาแผล นอกเหนือจากนี้ยังใช้ซังข้าวโพดต้มนำน้ำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ต้น ราก และไหมข้าวโพด รสจืดหวาน ต้มเอาน้ำดื่ม ขับปัสสาวะได้ด้วย

สารอาหารในเมล็ดข้าวโพด 100 กรัมนั้น ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นไยหยาบอีก 2.1 กรัม แนะซักนิด สำหรับผู้ที่ชอบการรับประทานข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจว่า หากจะรับประทานข้าวโพดเมื่อใดก็ควรล้างน้ำเปล่าให้สะอาดเสียก่อน หากซื้อจากร้านค้าก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ฟอกหรือขัดมากจนเกินไป เพราะจะเสียคุณค่าทางอาหาร และอาจมีสารขัดสีตกค้างเป็นของแถม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ที่ควรเลือกแต่สินค้าที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น

เห็นกันแล้วว่าการรับประทานข้าวโพดเพียงชนิดเดียวก็ได้รับประโยชน์อันมหาศาล ดังนั้นถ้าบ้านใครมีพื้นที่ว่างพอที่จะปลูกได้ล่ะก็อย่ารีรอกันอยู่เลย เพราะวิธีการปลูกนั้นง่ายนิดเดียว เพียงหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลงในหลุมดินร่วนที่ขุดไว้ 3-5 เมล็ด เมื่อต้นกล้างอกให้ถอนออกเหลือหลุมละ 1 ต้น เท่านี้ก็จะได้ข้าวโพดที่เป็นได้ทั้งอาหารและยาไว้รับประทานกันในบ้านโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องสารพิษตกค้างอีกด้วย

มังคุด

มังคุด

มังคุด

Mangosteen

source: วิกิพีเดีย, สโมสรสุขภาพ, www.simple.mrsjan.com
ณ. ปัจจุบัน เปลือกมังคุดก็สามารถนำมารับประทานได้ โดยนำมาปั่นทำเป็นน้ำผลไม้ และมีสารอาหารกว่า 100 ชนิด และสีม่วงแดงของเปลือกมังคุด มีสาร แซนโทน (xanthones) สารซานโทส มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดจากมังคุดมีคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพหลากหลายอย่างด้วยกัน
ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก
ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอว์เบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน บางท่านรับประทานเมล็ดด้วย
ประโยชน์ของสารสารแซนโทนจากเปลือกมังคุด
1. ลดอาการอักเสบ และรักษาแผลพุพองต่างๆ
โดยธรรมชาติแล้วสารซานโทเนสในมังคุดสามารถต่อต้านและยับยั้งการการ สังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู (PGE2) ตลอดจนรักษาอาการอักเสบของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้น มังคุดจึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบเรื้อรังต่างๆ อาทิเช่น โรคเบาหวาน, โรคมะเร็ง, โรคไขข้ออักเสบ, โรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม, โรคหัวใจ และโรคร้ายอื่นๆ อีกมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ป้องกันโรคหัวใจ
โรคหัวใจและโรคทางเดินหัวใจต่างๆ เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจ สารจากมังคุดจะช่วยส่งเสริมความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดตลอดจนยับยั้งการก่อ ตัวของจุลลินทรีย์ที่เป็นพิษ อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างออกซิเจนในหลอดเลือด ดังนั้นเมื่อหลอดเลือดมีสุขภาพดีและแข็งแรงความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจก็จะ ลดลงตามไปด้วย

3. ลดความดันโลหิต (antihypertensive) และลดระดับคอเรสเตอรอล
ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับเส้นโลหิต ต่างๆ คอเรสเตอรอลและสารพิษต่างๆ ที่อุดตันทางเดินโลหิตส่งผลให้ทางเดินโลหิตแคบลงเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ขึ้น ซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวายและอัมพาตหรือโรคปัจจุบันตามมา สารสกัดจากมังคุดได้มีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยขยายตัวของหลอดเลือด (vasorelaxing activities) และป้องกันการสะสมตัวของตะกอนไขมัน ทำให้ลดระดับคอเรสเตอรอลอีกด้วย

4. บำรุงสภาพภายในกระเพาะอาหาร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อคนเราแก่วัยก็คือการเสื่อมสภาพของกรดในกระเพาะ อาหาร ซึ่งจะส่งผลให้แบคทีเรียในกระเพาะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและเป็นสาเหตุให้เกิด อาการท้องร่วง เสียดท้อง เกิดแก๊สในกระเพาะ และการดูดซึมอาหารบกพร่อง สารแซนโทเนสในมังคุดจะไปช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร

5. ช่วยให้ทางเดินปัสสาวะมีสภาวะที่ดีขึ้น
การกลั้นปัสสาวะของเพศหญิงเป็นสาเหตุให้เกิดการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ บริเวณเชิงกรานและการเสื่อมสภาพนี้เองที่จะไปลดความสามารถในการขับปัสสาวะ ออกจากกระเพาะปัสสาวะ สำหรับเพศชายเมื่อมีอายุมากขึ้นต่อมลูกหมากก็จะขยายใหญ่ขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ ท่อปัสสาวะมีขนาดแคบลงและเป็นสาเหตุให้มีปัสสาวะขังอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ในสภาพนี้เองที่ทั้งเพศชายและหญิงมีโอกาสสูงในการติดเชื้อเนื่องมาจากแบ็คที เรียในกระเพาะปัสสาวะไม่ได้มีการกำจัดออกไป สารแซนโทเนสได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขับทั้งแบ็คทีเรียธรรมชาติตลอดจน สารตกค้างที่เกิดจากการรับประทานยาปฏิชีวนะออกจากร่างกายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ

6. เพิ่มพูนสติปัญญา
การขาดอ็อกซิเจนในสมองเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดโรคสติปัญญาเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง สารสกัดจากมังคุดซึ่งเป็นสารแอนตี้อ็อกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการ ป้องกันการเสื่อมถอยทางสติปัญญา ตลอดจนช่วยเพิ่มไหวพริบปฏิภาณ จะช่วยขจัดความเสื่อมทางปัญญาเหล่านี้ออกไป

7. ต่อต้านและป้องกันโรคมะเร็ง
ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับมังคุดอย่างไม่หยุดหย่อนถึงความเป็นไปได้ที่จะ ใช้สารสกัดจากมังคุดในการป้องกันโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากมังคุดจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบ โตของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือด และยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตอันรวดเร็วของมะเร็งเต้านม มะเร็งในตับ มะเร็งในกระเพาะอาหาร ตลอดจนมะเร็งในปอดได้

8. ต่อต้านและป้องกันโรคภูมิแพ้ (allergies)
ได้มีการค้นพบสรรพคุณของมังคุดในการยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด เป็นยาแก้แพ้และยาแก้อักเสบจากธรรมชาติ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ น้ำมังคุดรับประทานง่าย เอร็ดอร่อย ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง อย่างเช่น อาการง่วงซึม เหมือนดังยาแก้แพ้ทั่วไป

9. ต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อรา, แบคทีเรียบางชนิด, เชื้อไวรัส
นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยถึงการค้นพบการแก้ไขปัญหาการแพร่เชื้อของเชื้อ แบคทีเรียเช่น เชื้อวัณโรค (Mycobacterium tuberculosis), เชื้อ S. Enteritidis , เชื้อ HIV และสามารถในการช่วยขจัดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ออกไป โดยใช้สารสกัดจากมังคุด ดังนั้นมังคุดจึงได้ชื่อว่าราชินีแห่งการต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์

10. เพิ่มพลังงานและสร้างความกระปรี้กระเปร่าต่อต้าน ป้องกันโรคซึมเศร้า
หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของมังคุดก็คือความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึกให้กระปรี้กระเปร่า เพิ่มพลังงานและสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกายได้อย่างปลอดภัยจริง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย และยังให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งกรดตัวนี้มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทส่วนควบคุมการนอนหลับ อารมณ์และความอยากอาหาร ดังนั้นการบริโภคอาหารเสริมจากมังคุดอย่างต่อเนื่องจะช่วนส่งเสริมให้มี สุขภาพจิตที่ดี และอารมณ์ดีอยู่เสมอ

11. บำรุงผิวพรรณ
ความผิดปกติทางผิวพรรณ เช่น แผลเปื่อยพุพอง อาการอักเสบที่ผิวหนัง สิว โรคเรื้อน ผดผื่นต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถรักษาได้โดยใช้สเตียรอยด์หรือยาฆ่าเชื้อต่างๆ สามารถรักษาได้โดยการใช้มังคุดทาลงไปตรงส่วนที่มีปัญหา ซึ่งมังคุดได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาปัญหาผิวพรรณเหล่านี้โดยวิธี ธรรมชาติอย่างได้ผลโดยปราศจากการใช้สารเคมีอันตรายและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ มังคุดประกอบด้วยสารคาเทชินซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถต่อต้านสารอนุมูลอิสระ อันจะเป็นอันตรายต่อชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซีและ วิตามินอี เพียงใช้เป็นประจำทุกวันคุณจะเห็นผลอันน่าทึ่งของผลิตภัณฑ์นี้

12. รักษาอาการปากแตกหรือปากเป็นแผล
มังคุดสามารถรักษาอาการปากแตกหรือปากเป็นแผลได้ภายในเวลาแค่ 24 ชั่วโมง พลังในการสมานแผลตลอดจนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์สามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว และทันที จะช่วยให้ปากและเหงือกมีสุขภาพแข็งแรง

13. ช่วยป้องกันโรคนิ่วในไต
นิ่วในไตส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง มังคุดมีสรรพคุณในการขับปัสสาวะซึ่งจะช่วยในการป้องกันโรคนิ่วในไตได้ ดังจะสังเกตได้จากการที่ผู้ชายดื่มน้ำมังคุดมากกว่า 3 ออนซ์ขึ้นไป พวกเขาจะขับปัสสาวะบ่อยกว่าปกติภายใน 24 ชั่วโมง แรก

14. ช่วยชะลอการร่วงโรยแห่งวัย (aging)
มังคุดคือผลไม้มหัศจรรย์ที่ช่วยป้องกันและต่อต้านการร่วงโรยแห่งวัยนา นับประการทั้งในด้าน ความเสื่อมโทรมทางสติปัญญา การย่อยอาหาร ไขข้อ กระดูก กล้ามเนื้อ และตา

15. ช่วยในการย่อยอาหาร
เปลือกของมังคุดประกอบด้วยไฟเบอร์จำนวนมากซึ่งไฟเบอร์นี่เองที่มีส่วย ช่วยในการผลักดันของเสียออกจากร่างกายผ่านทางลำไส้อย่างรวดเร็วและช่วย ป้องกันอาการท้องผูกและความเป็นไปได้ในการเกิดมะเร็งในลำไส้ไฟเบอร์จะไปช่วย ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลโดยการกำจัดน้ำดีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทิ้งไป

มะยม

ในบรรดาต้นไม้ที่มีความผูกพันจนทำให้ประทับใจมาตั้งแต่เด็ก สำหรับผู้เขียนนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดเป็น ความรู้สึกเฉพาะตัว แต่บางชนิดก็เป็นความรู้สึกร่วมกันกับผู้คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ในบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมเดียวกัน เช่น เป็นเด็กในชนบทภาคกลาง เมื่อกว่า ๔๐ ปีก่อนโน้น เด็กสมัยนั้นใกล้ชิดกับธรรมชาติและต้นไม้มากกว่าเด็กสมัยนี้หลายเท่า ต้นไม้บางชนิดเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเด็กๆมากเป็นพิเศษ ทั้งด้านที่ชอบและไม่ชอบ รวมทั้งเกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่ทั้งในชีวิตประจำวันและโอกาสพิเศษ ตัวอย่างหนึ่งของต้นไม้ ชนิดพิเศษดังกล่าวนี้ก็คือ มะยม
มะยม : พืชพันธุ์ดั้งเดิมถิ่นแหลมทองมะยมเป็นพืชยืนต้นขนาดกลางมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus acidus (Linn.) Skeels. อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ชื่อภาษาอังกฤษคือ star gooseberry ลำต้นสูงประมาณ ๔ ถึง ๗ เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกเป็นปุ่มปมอันเกิดจากแผลเป็นของก้านใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว ใบเรียงสลับกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นประเภทขนนก คือมีใบย่อยเรียงอยู่ ๒ ด้านของก้านใบรวมขนาดใหญ่ ยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยเป็นรูปไข่เบี้ยว ปลายใบแหลม ก้นใบค่อนข้างกลม ด้านบนใบสีเขียวอ่อน ด้านล่างสีขาวนวลอมเขียว ดอกออกเป็นช่อตามลำต้นและกิ่งก้านที่ไม่มีใบ เป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้มีมากกว่าดอกตัวเมีย บางครั้งมีเฉพาะดอกตัวผู้ทั้งต้น จึงไม่ติดผลเลย เรียกกันว่า มะยมตัวผู้

กลีบดอกขนาดเล็กสีชมพู เมื่อติดผลมักอยู่รวมเป็นพวง ผลค่อนข้างกลม ก้นแบน จุกด้านบนบริเวณก้านผลบุ๋มลงไป ด้านข้างผลมีลักษณะเป็นพูมนๆ ๖ ถึง ๘ พู ผิวของผลดิบจะมีสีเขียวอ่อนบาง มีน้ำในผลมากเช่นเดียวกับตะลิงปลิงและมะเฟือง ผลสุกผิวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาลอ่อน เนื้ออ่อนนุ่มและไม่ฉ่ำน้ำมากเหมือนตอนดิบ เมล็ดในผลมีลักษณะเป็นพูๆ เช่นเดียวกับผล มีสีน้ำตาล ผลละหนึ่งเมล็ด หากสังเกตชื่อวิทยาศาสตร์ของมะยม จะพบว่าชื่อชนิดคือ acidus หมายถึง กรด คงมาจากลักษณะผลฉ่ำน้ำของมะยมนั่นเอง เพราะมะยมดิบมีน้ำมาก น้ำมะยมนั้นมีกรดอยู่มากจึงมีรสเปรี้ยวจัด เป็นลักษณะเด่นของมะยม ปกติมะยมจะมีรสเปรี้ยว แต่มะยมบางต้นผลจะมีรสจืด เพราะมีกรดน้อย เรียกกันว่ามะยมหวาน ความจริงไม่มีรสหวานเลย น่าจะเรียกว่ามะยมจืดมากกว่า เชื่อว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของมะยมอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่คนไทยเคยเรียกว่าถิ่นแหลมทองนี้เอง จึงนับว่ามะยมเป็นพืชคู่บ้านคู่เมืองของคนไทยมาตั้งแต่เดิม คนไทยจึงมีความผูกพันกับมะยมมาเนิ่นนานและลึกซึ้งในหลายๆด้าน

มะยมในฐานะผักและอาหารคนไทยใช้ยอดอ่อนและใบอ่อนของมะยมเป็นผัก เช่น ผักจิ้ม หรือที่นิยมมากคือเป็นเหมือดกินกับขนมจีน หากสังเกตการจัดวางเส้นขนมจีนในชนบทภาคกลาง จะเห็นใบมะยมวางรองเส้นขนมจีนเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ยังใช้ทำลาบและยำบางตำรับอีกด้วย ผลดิบของมะยมใช้ทำส้มตำได้ เรียกว่าตำมะยม ดูเหมือนคนไทยจะรู้จักมะยมในฐานะผลไม้มากกว่าผัก เพราะผลมะยมนำมากินได้หลากหลายรูปแบบ แม้แต่นำมาจิ้มเกลือกินเล่นก็ได้รสชาติจัดจ้าน ทำให้หูตาสว่างหายง่วงได้ดี หากไม่ชอบเปรี้ยวจัดก็ใช้ผลมะยมสุกที่นำผลดิบมาตากแดดให้เหี่ยวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนแล้วกินแทน ผลมะยมดองก็เป็นของว่างยอดนิยมอย่างหนึ่งในบรรดาผลไม้เมืองไทย ดังจะเห็นปรากฏอยู่ตามรถเข็นทั่วไปในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสเปรี้ยว ก็อาจเลือกทำแยมหรือเชื่อม เป็นการถนอมอาหารอย่างง่ายที่ทำได้ทุกครัวเรือน และขายเป็นรายได้เสริมของครอบครัวและชุมชนก็ดี สำหรับผู้ชอบดื่มน้ำผลไม้ น้ำมะยมที่เตรียมจากผลมะยมดิบ นับว่าเป็นน้ำผลไม้ที่มีรสชาติดีเป็นที่นิยมในระดับแนวหน้าเลยทีเดียว

จากน้ำผลไม้พัฒนาไปสู่กระบวนการหมัก เพื่อให้ได้เครื่องดื่มประเภทไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ระดับต่ำ ไวน์มะยมก็เป็นไวน์จากผลไม้พื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมานานในเมืองไทย เพราะหาวัตถุดิบได้ง่าย รสชาติดี สีสวย และคุณค่าทางด้านสุขภาพคงไม่ด้อยกว่าไวน์นำเข้าราคาแพงจากต่างประเทศแต่อย่างใด น่าเสียดายที่การพัฒนาไวน์น้ำผลไม้ของไทยถูกจำกัดด้วยกฎหมายผูกขาด และริดรอนสิทธิของประชาชนในการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทั้งประเภทไม่กลั่น(เช่น ไวน์ สาโทกระแช่ อุ ฯลฯ) และประเภทกลั่น (เหล้าพื้นบ้านจากข้าว ข้าวโพด ฯลฯ) ทำให้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาในแต่ละท้องถิ่นหยุดชะงัก ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา หรือสังคมนิยม ต่างก็ไม่มีกฎหมายจำกัดสิทธิประชาชนดังกล่าว ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง มีแนวโน้มว่าการจำกัดสิทธิประชาชนด้านต่างๆจะได้รับการปรับปรุงแก้ไขในไม่ช้า เมื่อถึงตอนนั้นมะยมอาจจะกลายเป็นเครื่องดื่มส่งออกไปทั่วโลกก็ได้

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของมะยม
มะยมมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายประการ ดังปรากฏในตำราสรรพคุณสมุนไพรไทย ดังนี้

ราก : แก้โรคผิวหนัง ประดง เม็ดผื่นคัน ขับน้ำเหลืองให้แห้ง

ใบ :
ปรุงเป็นยาเขียว ใช้ดับพิษไข้ หรือใช้ต้มน้ำอาบแก้พิษคัน พิษไข้หัดดำแดง สุกใส ฝีดาษ

มะยมเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคล เพราะคำว่า มะยม ใกล้กับคำว่า นิยม จึงถือว่ามะยมเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ในตำราพรหมชาติกำหนดให้ปลูกต้นมะยมไว้ในบริเวณ บ้านด้านทิศตะวันตก ร่วมกับมะขาม และพุทรา

ในด้านไสยศาสตร์ คนไทยแต่ก่อนมีวิธีการเลี้ยงผีไว้เป็นบริวาร หรือใช้งาน เช่น ขุนแผน มีโหงพรายและกุมารทอง เป็นต้น สำหรับคนทั่วไปนิยมเลี้ยงรัก-ยม โดยนำไม้จากต้นมะยมและต้นรัก (ที่ให้ยางสีดำใช้ลงรัก) มาแกะเป็นรูปเด็กชายตัวเล็กๆ แล้วแช่ไว้ในน้ำมันจันทน์ ใส่ขวดติดตัวไปในที่ต่างๆ เชื่อกันว่ารัก-ยมจะช่วยคุ้มกันอันตรายและนำความสำเร็จด้านต่างๆมาให้

นอกจากคนไทยจะเชื่อว่ามะยมเป็นพืชมงคล มีผลทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยมแล้ว ยังเชื่อว่าช่วยป้องกันและขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย จึงนำมาใช้ในพิธีปัดรังควาน และใช้สำหรับพระสงฆ์ประพรมน้ำมนต์แทนหญ้าคา โดยนิยมใช้ใบมะยม(ทั้งก้าน) ๗ ใบ มัดรวมกัน เมื่อกล่าวถึงใบมะยม ก็ต้องพูดถึงก้านใบมะยมที่เอาใบออกหมดแล้ว เรียกสั้นๆว่าก้านมะยม ก้านมะยมจะมีความยาวราว ๑ ฟุต โคนก้านโตกว่าด้านปลายที่เรียวแหลม ก้านมะยมมีความเหนียวเพราะมีแกนเป็นเนื้อไม้ แต่ยืดหยุ่นได้ดีเพราะหุ้มด้วยเปลือกสดสีเขียว ผิวเรียบ มีปุ่มปมเล็กน้อย เป็นรอยแผลของใบที่เด็ดออกไป ก้านมะยมนับเป็นเครื่องมือที่ผู้ปกครองใช้ลงโทษเด็กและแพร่หลายที่สุดเมื่อ ๔๐ ปีก่อนโน้น เนื่องจากหาง่าย ไม่ทำให้เด็กฟกช้ำ จึงอาจกล่าวได้ว่า ก้านมะยมได้ช่วยสร้างอนาคตให้กับเด็กไทยในอดีตอย่างมากมาย(รวมทั้งผู้เขียนด้วย) น่าที่จะช่วยกันปลูกต้นมะยมไว้ในบ้านเพื่อตอบแทนคุณความดี หรือเป็นกตเวทีคุณแก่ต้นมะยม นอกเหนือไปจากเพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว

ลำไย

ผลไม้ลำไยสรรพคุณ และ ประโยชน์ของลำไย

ลำไย หรือก็คือ ผลไม้ลำไย นั่นเองค่ะ และคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่นำลำไยมารับประทานกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็นำ สรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยมาฝากคุณ ๆ กันด้วยนะค่ะ แน่นอนว่านอกจากลำไยจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแล้ว ประโยชน์ของลำไย ยังมีมากมายบางก็นำมาทำเป็นน้ำลำไยบ้างล่ะ ลำไยกระป๋องบ้างล่ะ ลำไยอบแห้งบ้างล่ะ และนอกจาก ประโยชน์ของลำไย แล้วเราก็ยังมี สรรพคุณของลำไย ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยเพราะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ค่ะ นั้นเรามาดูสรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยกันเลยดีกว่าค่ะ




สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลำไย


สรรพคุณ / ประโยชน์ของลำไย



ใบ : เป็นใบสด มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร ฝีหัวขาดและแก้ไข้หวัด โดยนำเอาต้มน้ำกิน

ดอก : ใช้ดอกสดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย โดยใช้ใบสดประมาณ 5-30 กรัมต้มน้ำกิน

เมล็ด : ต้มหรือบดเป็นผงกินจะมีรสฝาด ใช้ภายนอกจะรักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด

รากหรือเปลือกราก : ต้มน้ำกินหรือเคี้ยวให้ข้นผสมกิน มีรสฝาด แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย

เปลือกผล : ใช้ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น จะมีรสชุ่มหรือใช้ทาภายนอกโดยเผาเป็นเถ้าหรือบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เนื้อหุ้มเมล็ด : นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้าเป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อนหรือจะบดเป็นผงผสมกับยาเม็ดกินก็ได้


Tips


1. โรคมาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง 10-20 กรัมและน้ำ 2 แก้วผสมเหล้าอีก 1 แก้วต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 แก้วกินก่อนมีอาการไข้ 2 ชั่วโมง
2. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทาตรงบริเวณที่เป็น
3. ปัสสาวะขัด ใช้เมล็ดมาทุบให้แตกแล้วต้มน้ำกิน แต่จะต้องลอกเอาเปลือกสีดำ ของเมล็ดออกก่อน
4. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวถูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอา เปลือกสีดำออกก่อน
5. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา
6. หกล้มเลือดออกหรือมีดบาด ใช้เมล็ดบดเป็นผงพอก ห้ามเลือดและจะช่วยแก้ปวด ด้วย แต่ต้องเอาเปลือกนอกสีดำออกก่อน


ข้อห้ามใช้


คนที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะหรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนองไม่ควรกินเนื้อของผลลำไย

ลองกอง

ลองกอง( Longkong )

ลักษณะพันธุ์
ลองกองเป็นผลผลิตมีคุณภาพดีที่สุด มีเมล็ดน้อยหรืออาจจะไม่มีเมล็ดเลย ใบมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก คือมีสีเขียวเข้ม และมีร่องใบลึก ทำให้ดูเหมือนกับว่าใบ หยักเป็นคลื่น ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ

ลองกองแห้ง ผลสุกจะมีเนื้อในเป็นแก้ว เนื้อแห้ง หวานและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ส่วนเปลือกหนามีสีเหลืองคล้ำและไม่มียาง

ลองกองน้ำ ผลสุกจะมีเนื้อค่อนข้างฉ่ำน้ำ สีเปลือกเหลืองสว่างกว่า
ลองกองปาลาแมหรือลองกองแปร์แมร์ ผลสุกจะมีเนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอมเหมือนลองกองน้ำ เปลือกบางและมียางบ้าง
 คุณค่าทางโภชนาการ
 ลองกอง เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ลดอาการร้อนในช่องปาก
 การนำไปใช้ประโยชน์
 ลองกองมีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของมนุษย์ นอกจากนี้การรับประทานลองกองเป็นประจำก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้อนในขึ้นภายในปากได้อีกด้วย
  
การผลิต
รายการ
2546
2547
2548
1. จำนวนครัวเรือน (ครัวเรือน)
223,493
230,111
233,362
2. เนื้อที่ให้ผล (ไร่)
232,154
252,008
261,762
3. ผลผลิต (ตัน)
232,912
277,539
215,581
4. ผลผลิตต่อไร่ (กก.)
1,003
1,101
824
5. ต้นทุนการผลิต (บาท / ตัน)
    - ต้นทุนรวม
10,163
10,550
14,768
    - ต้นทุนผันแปร
7,492
8,117
11,517
6. ราคาที่เกษตรกรขายได้
    -ลองกองคละ (บาท / ตัน)
32,230
25,470
23,340
7. ผลตอบแทนสุทธิ ( บาท / ไร่)
22,133
16,427
7,030
     ( บาท / ตัน )
22,067
14,920
8,532
8. มาตรฐาน    
   -กำลังดำเนินการจัดทำมาตรฐาน    
การค้า
รายการ
 
2546
2547
2548
1. การค้าของโลก (ล้านตัน)
0.575
69.660
340.000
2. ส่วนแบ่งการตลาด ( % )
86.96
86.96
88.24
3. ใช้ในประเทศ (ล้านตัน)
232,412
277,478
215,281
4. ส่งออก
    ปริมาณ ( ตัน)
0.50
60.57
300.00
    มูลค่า (ล้านบาท)
0.01
3.71
18.00
5. ราคาส่งออก (บาท / ตัน)
20,000
61,250
65,000
6. คู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เวียตนาม จีน เยอรมนี
7. คู่แข่งที่สำคัญ
 
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  
 
ตลาดผลไม้
  
1.  ตลาดส่งออก  
เพิ่มขีดความสามารถส่งออก
 มาตรการกีดกันทางการค้า
 กฏระเบียบอาหารปลอดภัยของ UE
 ระบบความปลอดภัยอาหารของคู่ค้า
 ระบบความปลอดภัยอาหารของไทย
 ตรวจสอบตลาดญี่ปุ่น
 พิกัดผลไม้
 รายชื่อ web กฏหมายอาหารของต่างประเทศ
 web กฏหมายอาหารต่างประเทศ (ต่อ)
  
2.  ตลาดภายในประเทศ
กองส่งเสริมระบบตลาด
 ข้อมูลตลาด จ.ราชบุรี
 ข้อมูลสำนักงานสถิติ
 ตลาดกลางสินค้าเกษตร
 ตลาดข้อตกลง
 ตลาดผลไม
 ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
 เปิดสู่ตลาดเกษตรล่วงหน้า
 ศูนย์กลางตลาดสินค้าเกษตร
 ศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก
 สถิติราคาผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง ปี 2544 / 2545 / 2546 / 2547 / 2548 / 2549
 สำมะโนเกษตร พืชยืนต้น ปี 2546
 สำมะโนเกษตร ไม้ผลและสวนป่าปี 2546
 ราคาตลาดสี่มุมเมืองสินค้าอัพเดทประจำวัน
  
3.  ผลไม้ส่งออก
สถิติการส่งออกสินค้าหลัก
 
4.  ราคาผลไม้
 สถิติราคาผลไม้สี่มุมเมืองปี 2544 / 2545 / 2546 / 2547 / 2548 / 2549
 ข้อมูลเกษตร 
 ข่าวสินค้าเกษตร (กรมวิชาการเกษตร)
 ราคาสินค้าเกษตร (กรมการค้าภายใน)
 ราคาผัก-ผลไม้ตลาดไท
 ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา ปี 2547
ดัชนีราคาสินค้าเกษตรกรที่เกษตรกรขายได้ประจำเดือน ตุลาคม 2550
 ดัชนีราคาที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นา และดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ เดือนพฤศจิกายน 2550
 
 ข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร ข้าว / ยางพารา / ปาล์ม / กาแฟ / มะพร้าว / เงสะ / ทุเรียน / มังคุด
 มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
5.   มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร
มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร
6.   งานวิจัย
การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอุตสาหกรรมผัก ผลไม้อบกรอบ
 7.   งานวิเคราะห์
 ผลไม้สด ผลไม้ของประเทศจีน / อุตสาหกรรมผลไม้ของประเทศไทย
8.   ทะเบียนกลุ่มปรับปรุงคุณภาพไม้ผล
ปี 2546
9.   ข้อมูลการเกษตร
ฤดูกาลผลไม้ในประเทศไทย
มกราคม  /  กุมภาพันธ ์ /   มีนาคม  /   เมษายน /    พฤษภาคม   มิถุนายน
กรกฎาคม  /  สิงหาคม  กันยายน  /  ตุลาคม  /   พฤศจิกายน  /  ธันวาคม
 ลองกอง
 ประเด็นเทคโนโลยีที่ควรถ่ายทอด
  
10.   แผนที่
แผนที่แสดงเนื้อที่เพาะปลูกผลไม้ในประเทศไทย ปี 2546
ลองกอง
สถิติการปลูกผลไม้รายจังหวัด ปี 2546
ลองกอง
 แผนที่ทางภูมิศาสตร์
 ปริมาณน้ำฝน   /   การชลประทาน    การคมนาคม   /   ลุ่มน้ำ
 แผนที่ทางกายภาพ
 แสดงเส้นทางคมนาคม 
 แผนที่แสดงปริมาณน้ำฝน เฉลี่ย 39 ปี ของประเทศไทย   
 แผนที่จำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
 แผนที่แสดงความสูงของพื้นที่
 แผนที่แสดงพื้นที่เขตชลประทาน
 แผนที่การใช้ที่ดินของประเทศไทย ปี 2537 จากข้อมูลดาวเทียม LANDSAT
 แผนที่ลุ่มน้ำหลักในประเทศไทย
 แผนที่แสดงชุดดินในประเทศไทย
 แผนที่แสดงเขตการปกครองประเทศไทย

มะม่วง

มะม่วงเป็นพืชที่ปลูกเพื่อรับประทานผล และผลที่ได้นั้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงสามารถปลูก และผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องที่ มะม่วงหลายพันธุ์ยังเป็นผลไม้ที่ตลาดต่างประเทศต้องการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การปลูกมะม่วงแบบเป็นการค้านั้น จะต้องศึกษาถึงสภาพความเหมาะสมต่าง ๆ หลายประการด้วยกัน ผู้ปลูกจะต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย เพื่อให้ประหยัดต้นทุนในการผลิต ตลอดจนสามารถผลิตผลมะม่วงที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดได้
มะม่วง (ผักสมุนไพร)
e0b8a0e0b8b2e0b89ee0b89ce0b8a5e0b8a1e0b8b0e0b8a1e0b988e0b8a7e0b887e0b980e0b89ae0b8b21
ชื่ออื่นเรียกตามท้องถิ่น :
ทั่วไป เรียก มะม่วงบ้าน, มะม่วงสวน
กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก ขุ ,โคก
จันทบุรี เรียก เจาะ ช๊อก ช้อก
นครราชสีมา เรียก โตร้ก
มลายู-ภาคใต้ เรียก เปา
ละว้า-เชียงใหม่ เรียก แป
กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน เรียก สะเคาะ, ส่าเคาะส่า
เขมร เรียก สะวาย
เงี้ยว-ภาคเหนือ เรียก หมักโม่ง
จีน เรียก มั่งก้วย
ลักษณะ : มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน ปลายใบแหลม กลีบดอกมี 5 กลีบ ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเหลืองส้ม มีเมล็ดภายใน 1 เมล็ด พันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก ได้แก่ มะม่วงแก้วศรีสะเกษ มะม่วงพันธุ์มรกต มะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ทะวาย พันธุ์ฟ้าลั่น พันธุ์หนองแซง พันธุ์เขียวเสวย เป็นต้น และมีพันธุ์ส่งเสริมแยกตามลักษณะการรับประทานดังนี้ พันธุ์รับประทานสุก ได้แก่ น้ำดอกไม้ อกร่อง ทองดำ พันธุ์รับประทานดิบ ได้แก่ ฟ้าลั่น เขียวเสวย และแรด พันธุ์แปรรูป ได้แก่ แก้วสามปี
สรรพคุณ : ยอดมะม่วง ใบอ่อน มีรสเปรี้ยวอมฝาดเล็กน้อย ผลดิบของมะม่วงรสเปรี้ยว
ยอดอ่อนและใบอ่อนของมะม่วงยังไม่มีการวิเคราะห์ทางโภชนาการ ผลมะม่วงแก่ดิบจะให้พลังงานต่อร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้า - แคโรทีน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน วิตามินซี เป็นต้น
ผลดิบและผลสุกสามารถแปรรูปเป็น มะม่วงกวน มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำมะม่วง แยม ฯลฯ และผลดิบสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ เช่น แกงส้ม (คนปักษ์ใต้นิยมแกงกัน) น้ำพริก (น้ำพริกมะม่วง) ใช้รับประทานคู่กับผักเหนาะ เช่น แตงกวา ผักกูดลวก สะตอ อื่นๆ อีกมากมาย
ความเชื่อ มะม่วงเป็นต้นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คนโบราณเชื่อว่าหากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ (ทักษิณ) จะทำให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยมีความร่ำรวยยิ่งขึ้น
สรรพคุณทางยา :
ผลสดแก่ รับประทานแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ
ผลสุก หลังรับประทานแล้วล้างเมล็ดตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ
ใบสด 15–30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ท้องอืดแน่น เอาน้ำต้มล้างบาดแผลภายนอกได้
เปลือกต้น ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน
เปลือกผลดิบ คั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล แก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือน

แตงโม


Smiley น้ำแตงโม Smiley

ส่วนผสม

- เนื้อแตงโม 50 กรัม(5 ช้อนคาว)
- น้ำเชื่อม 15 กรัม(1 ช้อนคาว)
- เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา)
- น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม(10 ช้อนคาว)

วิธีทำ

นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ

คุณค่าทางอาหาร  :  มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาและวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยา  :  ช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ

วอชิงตัน - คณะนักวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐศึกษาพบว่า แตงโมแช่เย็นให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทานแต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง

คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50-139 ตามลำดับ

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว กระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14-21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว


สตรอเบอร์รี่

สตรอวเบอร์รี่

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอวเบอร์รี่! (Lisa)

          ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา

          ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

          เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

          กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

          ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

          หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

          ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

แคนตาลูป

                       

บำรุงกระดูกและฟันและขับปัสสาวะ


แคนตาลูป เป็นพืชตระกูลแตง อยู่ในตระกุลเดียวกับแตงไทย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนอินเดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปี ชื่อแคนตาลูปได้มาจากการนำแตงพันธุ์นี้เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคนตาลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8 นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกว่า "แคนตาลูป" อังกฤษนำไปปลูกบ้าง เลยเรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศส
มีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2478 เมื่อก่อนเรียกว่า "แตงเทศ" หรือ "แตงฝรั่ง" ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงมีบางคนเรียกแคนตาลูปว่า "แตงไทยฝรั่ง" แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์ จนสามารถปลูกแคนตาลูปได้ผลผลิตดีเช่นในปัจจุบัน
แหล่งปลูกแคนตาลูปในบานเราอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปว่า "แตงคุณหนู" เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย
แคนตาลูปเป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถา และก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน ดอกสีเหลือเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 10 - 16 ซ.ม. เปลือกนอกแข็ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
- เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว เป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย ผลสุกเปลือกสีเขียว ครีมเหลือง และเหลือทอง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน และมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิด ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์ และวีนัสไฮบริด เป็นต้น
- เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย ผลสุกเปลือกสีครีม และสีเหลือง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน และมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรง ได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น
ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีน้ำตาล มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U., ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป จะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ
สารอาหารในแคนตาลูป ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสมอง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติด จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย
น้ำแคนตาลูป นอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้
การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไปเมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม ให้เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่
ลองทำน้ำแคนตาลูปกันดู โดยให้ปอกเปลือกแคนตาลูป แล้วเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย ตามด้วยแตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย ต่อด้วยน้ำส้มคั้น ½ ถ้วย และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง จนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที
หรือจะทำ น้ำแคนตาลูปผสม โดยให้นำแคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้ แล้วนำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 ½ ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาทีแล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่แก้วดื่มทันที

สับปะรด

สับปะรด อัศวินแห่งผลไม้



สับปะรด อัศวินแห่งผลไม้ (Lisa)

      สับปะรดมีวิตามินซีที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ฯลฯ สับปะรด เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่าค่ะ
      1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น จึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

      2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

      3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

      4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

      5. ช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

      6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

      7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

      หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่น ๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น

แตงไทย



     แตงไทยเป็นพืชจำพวกไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีมือเกาะจัดเป็นพืชใบเดี่ยว ออกสลับ ใบรูปสามเหลี่ยม หยักตื้น 3-5แฉก ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเข้า ขอบใบจัก ก้านใบยาว ก้านใยและใบมีขน ขนาดใบกว้างราว 7-10เซนติเมตร ยาวราว 10-15เซนติเมตร

ดอก... สีเหลือง ออกบริเวณที่ข้อซอกใบบนลำต้น ดอกแยกเพศผู้และเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5กลีบ

ผล... รูปกลมค่อนข้างยาว มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เปลือกผลเรียบสีขาวนวลหรือเจือเขียวเล็กน้อย มีลายริ้วสีเขียวพาดสลับตามยาว ผลเมื่อสุกจะมีกลิ่นหอมเนื้อหนานุ่นมีลักษณะเป็นทราย มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดรูปหยดน้ำลักษณะแบนสีขาวนวล

ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด... ต้องการแสงแดดตลอดวัน เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด




สรรพคุณของแตงไทย
ใบ แก้ไข้
ดอก ทำให้อาเจียน แก้ดีซ่าน
เนื้อผล ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ บำรุงหัวใจ สมอง และแก้อักเสบในทางเดินปัสสาวะ
เมล็ด ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย และแก้ไข้
ราก ทำให้อาเจียน และ ระบายท้อง

น้ำแตงไทยปั่น แสนอร่อย!

เครื่องปรุง
ผลแตงไทย 1 ผล
น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 2 ถ้วยตวง
เกลือ 1/4 ถ้วยตวง
น้าแข็งป่น ตามใจชอบ

วิธีทำ
     แตงไทยสุกล้างให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ได้ 1 ถ้วยตวง ส่วนเมล็ดไม่ใช้ นำเนื้อแตงไทยที่หั่นเรียบร้อยแลเว ลงใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำต้มสุกลงรวมด้วย เปิดเครื่องปั่นจนเนื้อแตงไทยแหลกละเอียดจึงหยุดเครื่อง เติมน้ำเชื่อม เหยาะเกลือเล็กน้อย ชิมรสหวานตามชอบ เมื่อจะดื่มจึงเติมน้ำแข็งพอสมควร เครื่องดื่มชนิดนี้ควรดื่มแบบเย็นจะทำให้ได้รสชาติดี รู้สึกสดชื่น

     หากต้องการให้น้ำแข็งเป็นเกล็ดละเอียด ก็ให้เติมน้ำแข็งพร้อมกับน้ำเชื่อม และเกลือ เปิดเครื่องปั่นอีกครั้ง ปั่นจนก้อนน้ำแข็งละเอียดเป็นเกล็ด วิธีนี้จะได้ความเย็นจากน้ำแข็งมากว่าวิธีแรก

อะโวคาโด

ผลอโวคาโดสรรพคุณ และ ประโยชน์ของอโวคาโด

แม้ว่า อโวคาโด จะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศมากนักแต่สรรพคุณและประโยชน์ของอโวคาโดก็มีมากมิใช่น้อยเรียกได้ว่า ไม่แพ้สมุนไพรชนิดต่าง ๆ เลยค่ะ แม้สีสันและหน้ารวมถึงกลิ่นจะไม่น่าประทับใจใครหลาย ๆ คนนักแต่ ประโยชน์ของอโวคาโด ห้ามมองข้ามเด็ดขาดค่ะ ประโยชน์ของอโวคาโด นั้นจัดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเชียวนะค่ะ เพราะให้คุณค่าต่อร่างกายของเรามากจริง ๆ เรามาดู สรรพคุณของอโวคาโด และ ประโยชน์ของอโวคาโด กันเลยดีกว่าค่ะ
 

ผลอโวคาโดสรรพคุณ และ ประโยชน์ของอโวคาโด

แม้ว่า อโวคาโด จะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศมากนักแต่สรรพคุณและประโยชน์ของอโวคาโดก็มีมากมิใช่น้อยเรียกได้ว่า ไม่แพ้สมุนไพรชนิดต่าง ๆ เลยค่ะ แม้สีสันและหน้ารวมถึงกลิ่นจะไม่น่าประทับใจใครหลาย ๆ คนนักแต่ ประโยชน์ของอโวคาโด ห้ามมองข้ามเด็ดขาดค่ะ ประโยชน์ของอโวคาโด นั้นจัดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเชียวนะค่ะ เพราะให้คุณค่าต่อร่างกายของเรามากจริง ๆ เรามาดู สรรพคุณของอโวคาโด และ ประโยชน์ของอโวคาโด กันเลยดีกว่าค่ะ



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของอโวคาโด


สรรพคุณ / ประโยชน์ของอโวคาโด


1. เนื้อผลประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประมาณ 4-20% แล้วแต่พันธุ์ โดยกรดไขมันในอะโวคาโด ร้อยละ 70 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด monounsaturater fatty acid ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยช่วยลดปริมาณ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย และเพิ่มปริมาณ HDL-cholesterol ในเลือดซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจซึ่งเป็นประโยชน์ในการลดไขมันในเส้นเลือด คนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็บริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้และใช้ลดน้ำหนักได้ดี เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำแต่มีน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจึงสามารถบริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้


2. น้ำมันอะโวคาโด (Avocado oil) เป็นน้ำมันสกัดจากเนื้อของผลอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินอี กรดไขมัน linoleic และ oleic, phytosterol ใช้นวดศีรษะเร่งการงอกของผม น้ำมันนี้มีกลิ่นคล้ายเมล็ดถั่วคงตัวดี น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารก็มีส่วนช่วยให้วิตามินและสารอาหารที่ละลายในไขมันสามารถถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ สลัดผักจำพวกผักใบเขียวอย่างผักโขม เลตตูซ มะเขือเทศ และแครอทที่ใช้น้ำมันสลัดที่ปราศจากไขมันจะทำให้คาโรทีนอยด์ที่ละลายในไขมันซึ่งอยู่ในพืชผักเหล่านี้ไม่สามารถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ ไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมคาโรทีนอยด์ที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไลโคพีนในมะเขือเทศ เบต้า-แคโรทีนในผักสีส้ม และลูทีนในผักใบเขียว


3. วิตามินสูง ประกอบด้วย วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร antioxidant ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ ในผู้ใหญ่ควรบริโภควิตามินอีอย่างน้อย 10 mg ต่อวัน ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกใช้ผลอะโวคาโดสดสำหรับบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งให้นำอะโวคาโดมาบดผสมกับกล้วยหอมสุขและน้ำผึ้งในอัตรส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก คุณก็จะมีผิวพรรณที่ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาและยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญเพื่อการสกัดน้ำมันในอุตสาหกรรมทำเครื่องสำอางประทินผิวต่าง ๆ


4. อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโซเดียม โพแทสเซียม โฟเลต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะโฟเลตนั้นเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตเป็สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อของทารก คนไทยสมัยก่อนใช้กล้วยเป็นอาหารเลี้ยงทารก อะโวคาโดก็เช่นกันสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารกได้โดยอาจใช้เนื้ออะโวคาโดสุกป้อนเด็กทารกโดยตรงหรือผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกอัตราส่วน 1:1


5. โปรตีนสูงกว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8 – 1.7 % โดยให้ค่าพลังงานความร้อนต่อร่างกายสูงแต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเยื่อใยสูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย

ประโยชน์มากอย่างนี้หวังว่าคนไทยจะหันมาบริโภคอะโวคาโดกันมากขึ้น โดยสามารถนำอะโวคาโดมาจิ้มน้ำพริกแทนผัก ทำสลัด ไอศกรีม ซูชิ อะโวคาโด-ลอดช่องน้ำกะทิ ทาขนมปังแทนเนย รับประทานกับน้ำตาล รสหวาน มัน โรยเกลือป่นรสจะเค็ม ๆ มัน ๆ เราลองมาทำอาหารอร่อยที่ปรุงง่ายจากอะโวคาโดกันดีกว่า

แก้วมังกร

แก้วมังกร(Dragon Fruit) พืชสมุนไพรใกล้ตัวที่มากด้วยสรรพคุณทางยา

ต้นแก้วมังกรเป็นไม้ผลที่มีสรรพคุณทางยาเหมือนกับพืชสมุนไพร แก้วมังกรเป็นพืชในตระกูลเดียวกับต้นกระบองเพชรแต่แก้วมังกรเป็นไม้เลื้อยมีลำต้นอ่อนต้องอาศัยเกาะยึดอยู่กับหลักจึงจะสามารถเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านขยายออกไปได้ ลำต้นของแก้วมังกรมีลักษณะอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉกคล้ายต้นโบตั๋น ผลของแก้วมังกรเมื่อผ่าออกดูจะมีเนื้อสีขาวขุ่น(พันธุ์ไต้หวันจะมีเนื้อสีแดง) ภายในเนื้อจะมีเมล็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดงาดำแทรกกระจายอยู่ทั่วไปในเนื้อแก้วมังกร

สรรพคุณของแก้วมังกรในการเป็นพืชสมุนไพร นอกจากจะกินผลแก้วมังกรเพื่อดับร้อนให้ความชื่นใจแล้วยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมในสตรี มีธาตุเหล็กอยู่ในผลแก้วมังกร นอกจากจะกินแล้วอิ่มท้องแล้วแก้วมังกรยังเป็นผลไม้เสริมสุขภาพและความงามของผู้หญิงเพราะมีกากใยสูง อุดมไปด้วยวิตามินซีและให้แคลอรี่ต่ำ จึงให้ผลในการช่วยลดน้ำหนัก

เมล็ดของแก้วมังกรที่มีลักษณะคล้ายเม็ดงาดำจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายเป็นเหมือนยาสมุนไพรที่ช่วยดูดซับและขับเอาสารพิษออกจากร่างกาย แก้วมังกรยังมีคุณค่าทางอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งสำไส้ เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย

แก้วมังกรจัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่น้อยคนจะรู้ถึงประโยชน์และสรรพคุณในทางยาของสารต่างๆ ที่อยู่ในแก้วมังกรอย่างแท้จริง ส่วนมากจะนิยมกินแก้วมังกรในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนๆ ว่ากินแก้วมังกรแล้วน้ำหนักลดลงจริง จึงใช้แก้วมังกรเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนักเป็นหลัก ถึงแม้นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประโยชน์จากแก้วมังกร อย่างไรก็ตามการที่มีคนหันมาสนใจกินแก้วมังกรเพิ่มขึ้นจนทำให้แก้วมังกรกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้แก่คนไทยอีกด้วย เห็นหรือยังว่า แก้วมังกรมากมายด้วยประโยชน์จริงๆ.